เที่ยวสายบุญ อิ่มศรัทธา ที่เมียนม่า

 

 

 

                

เที่ยวสายบุญ อิ่มศรัทธา ที่เมียนม่า

หากพูดถึงการแสวงบุญที่พุทธศาสนิกชนทั่วโลกต้องไปสักครั้งนึงในชีวิตคงหนีไม่พ้นการเดินตามรอยพระพุทธเจ้าที่ประเทศอินเดีย แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเดินทางไกลนั่งเครื่องบินนานๆ aworld connect อยากชวนท่านไปแสวงบุญในประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา อย่างประเทศพม่า หรือเมียนม่าในปัจจุบัน

เมียนม่าประเทศที่ใครหลายคนคิดว่าล้าหลังนั้น ในปัจจุบันตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองและย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้ง ไปยังกรุงเนปิดอว์นั้น ถือว่าเมียนม่าเจริญขึ้นเร็วมากๆ ทั้งทางด้านวัฒนธรรม ผู้คน การเมืองและการศึกษาด้วยความเป็นที่เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาก่อนทำให้ประชาชนชาวเมียนม่าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้วันนี้เราทุกคนต้องปรับมุมมองกันเสียใหม่แล้ว


เราเริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยสายการบินเมียนม่า แอร์เวย์  มุ่งตรงสู่สนามบินนานาชาติเม็งกะลาดงในเมืองย่างกุ้ง ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงเศษก็ได้เหยียบผืนดินที่อุดมไปด้วยความเชื่อ ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา

หลังจากที่เรา Check-in ที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำนั่นก็คือการแลกเงินเป็นสกุลจ๊าด ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถแลกจากเงินบาทเป็นเงินจ๊าดได้เลย ไม่มีเหมือนเมื่อก่อนที่เราต้องแลกเงินดอลลาร์มาก่อน (1บาทราวๆ 42จ๊าด) ใครสะดวกแบบไหนก็จัดการได้เลย หรืออาจจะดูอัตราแลกเปลี่ยนมาก่อนว่าในตอนนั้นแลกเป็นอะไรคุ้มกว่ากัน และที่อยากจะเตือนท่านผู้อ่านก็คือ ธนบัตรที่จะนำไปแลกนั้นต้องเป็นธนบัตรที่ใหม่ ไม่ยับมาก ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่ไม่รับแลกนะครับ และเค้าเตอร์ที่ติดกับจุดแลกเงินก็คือเค้าเตอร์ของค่ายโทรศัพท์ต่างๆ ที่เราจำเป็นต้องซื้อซิมโทรศัพท์ โดยสามารถเลือกpackage ได้ตามใจตามจำนวนวันที่เรามาอยู่ที่นี่

และระหว่างที่เราแลกเงินอยู่นั้นบรรดา Taxi ก็จะรีบเข้ามาประกบเราอย่างรวดเร็วไม่ต้องตกใจไป คนพม่าน่ารักกว่าที่เราคิดไว้ ค่อยๆคุย ค่อยๆต่อราคากันไป เพราะจากสนามบิน ถ้าเราไม่นัดโรงแรมไว้ ยังไงก็ต้องใช้บริการ Taxi อยู่ดี โดยเค้าจะถามว่าเราจะไปเที่ยวที่ไหน พักกี่วัน ซึ่งเราต่อราคาแล้วได้ 7,000จ๊าด (จากสนามบินไปยัง โรงแรม Hotel Accord ที่เราได้จองผ่านทาง Traveloka ไว้)

 

หลังจาก Check-in ที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว สถานที่แรกที่เราต้องไปกราบสักการะนั่นก็คือ เจดีย์ชเวดากอง  เจดีย์ทองแห่งเมืองดากองหรือตะเกิง (ชื่อเดิมของเมืองย่างกุ้ง) แห่งลุ่มน้ำอิระวดี  ที่ต้องบอกก่อนว่าทุกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่านั้นห้ามใส่รองเท้าและถุงเท้าเข้าไปโดยเด็ดขาด โดยด้านหน้าทางเข้าของเจดีย์จะมีที่รับฝากรองเท้า หรือใครที่กลัวหาย ก็มีลูกเด็กเล็กแดงรอขายถุงพลาสติกกันอยากคึกคักพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ เด็กทุกคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วถึงแม้สำเนียงอาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อยก็ตาม
            สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คนพม่าจะต้องเสียค่าเข้า 6,000-10,000จ๊าด เมื่อเข้ามาแล้วไม่มีใครพูดจากันเลย เพราะต้องตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่สวยงามขององค์เจดีย์ชเวดากอง ซึ่งชาวพม่าบอกเราว่าเมื่อก่อนไม่ได้ใหญ่โตขนาดนี้ แต่เมื่อมีกษัตริย์องค์ใหม่เจดีย์จะถูกบูรณะใหญ่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้

โดยรอบองค์พระเจดีย์ชเวดากองที่เป็นลานกว้างมีแรงศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนมาทำบุญเป็นจำนวนมาก มีพระประจำวันเกิดให้ทรงน้ำประดิษฐานอยู่รอบๆ องค์พระเจดีย์ ที่นี่เราจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวพม่าทั้งนั่งสมาธิ นั่งสวดมนต์ การบวช หรือแม้แต่บ้านไหนจะมีการแต่งงานก็จะต้องมาทำพิธีที่นี่เพื่อเป็นศิริมงคลของครอบครัว

 

 จากพระเจดีย์ชเวดากองเราเรียก Grabtaxi ไปต่อกันใน Downtown  ชมความงามของ เจดีย์โบดาทาวน์ และสักการะองค์เทพที่ชาวไทยต้องไปสักครั้งในชีวิตนั่นก็คือ เทพทันใจหรือ นัตโบโบยี ด้วยเชื่อว่าอธิษฐานขอสิ่งใดแล้วจะสมปรารถนาทันใจ เทพทันใจ เป็น เทพผู้ปกปักรักษาและบันดาลโชค วิธีการสักการะรูปปั้นเทพทันใจ เพื่อขอสิ่งใดแล้วสมตามความปรารถนาให้เอาดอกไม้ ผลไม้ โดยเฉพาะมะพร้าวอ่อน กล้วย หรือผลไม้อื่นๆ มาสักการะท่านจะชอบมาก จากนั้นให้เอาเงินจะเป็นดอลล่าร์ บาทหรือจ๊าด ก็ได้เอาไปใส่มือของท่าน 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึงกลับมา 1 ใบ เพื่อเก็บไว้เป็นเงินขวัญถุงในกระเป๋า จากนั้นเอาหน้าผากไปแตะกับนิ้วชี้ขององค์เทพก็จะสมตามความปรารถนาที่ขอไว้

สถานที่อยู่ตรงข้ามกันจะเป็นเทพกระซิบ หรือ เมี๊ยะนานหน่วย ตามตำนานเล่าว่า นางเป็นธิดาของพญานาค ที่เกิดศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า รักษาศีล ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์จนเมื่อสิ้นชีวิตไปกลายเป็นนัต ( หมายถึง ผี หรือเทวดา ) ซึ่งชาวพม่าเคารพกราบไหว้กันมานานแล้ว  ส่วนใครที่ต้องการบูชาเทพกระซิบ จะบูชาด้วยน้ำนม ข้าวตอก ดอกไม้ และผลไม้ เท่านี้พรอันใดที่กระซิบขอองค์ท่านก็จะสมหวัง

และสถานที่สุดท้ายของวันนี้ก็คือวัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตยี หรือพระตาหวานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในพม่า ตั้งอยู่บนถนนชเวกองได โดยวัดนี้คนจะไม่เยอะเหมือน 2 ที่แรกที่เราไป ด้านในเราจะเห็น พระนอนเจาทัตยีองค์ใหญ่และยาวมาก วิหารเป็นอาคารโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่โตรับองค์พระ และสำหรับท่านใดที่อยากถ่ายภาพเต็มองค์ ทางวัดก็ได้จัดที่สำหรับให้ถ่ายภาพกันอย่างจุใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องรีบไปที่ท่ารถประจำทาง Aung Mingalar Highway Bus Station เพื่อที่จะมุ่งสู่เมืองหงสาวดี ต้องบอกก่อนว่าในเขตย่างกุ้งเราจะใช้บริการ Grabtaxi เป็นส่วนใหญ่เนื่องจากเราไม่อยากโดนโก่งราคา เพราะในแอพริเคชั่น Grabtaxi เราจะได้เห็นราคาค่าบริการก่อนเสมอ โดยแผนการของเราวันนี้คือท่องเที่ยวในเมืองหงสาวดี และนั่งรถต่อไปยังโรงแรมในอำเภอสะเทิม รัฐมอญที่ประดิษฐานของ พระธาตุไจทีโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวน

Aung Mingalar Highway Bus Station ถือได้ว่าเป็นหมอชิตของเมืองย่างกุ้ง เพราะจะเป็นศูนย์รวมของรถบัสประจำทางซึ่งไม่ว่าคุณจะเป็นจังหวัดไหนก็ต้องมาขึ้นรถที่นี่ และ Aircom Express คือบริษัทรถทัวร์ที่เราใช้บริการ โดยมีค่าบริการอยู่ที่ 5,000 จ๊าด

นั่งรถราวๆ สองชั่วโมงก็มาถึงเมืองหงสาวดี พร้อมกับอุทานในใจว่า “ซวยแล้ว” เพราะที่นี่ ไม่มี Grabtaxi ให้ใช้บริการ เราทำหน้าเป็นเด็กหลงกับแม่อยู่นานสองนานก็มีชาวพม่าเข้ามาประกบเราอีกแล้ว....คุยไปคุยมาได้ความว่าเป็นวินมอเตอร์ไซต์อยู่ที่นี่ และจะพาเราเที่ยวในหงสาวดีและพาไปยังจุดจอดรถบัสเพื่อไปพระธาตุอินแขวน ในราคา 9,000 จ๊าด ซึ่งเราไม่มีทางเลือกอื่นยอมซ้อนมอเตอร์ไซต์แต่โดยดี

ที่แรกที่พี่วินพาเราไปก็คือ เจดีย์ชเวมอดอร์ หรือพระธาตุมุเตา เป็นเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเมืองหงสาวดี ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี และยังเป็น 1 ใน 5 มหาสถานศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังและยิ่งใหญ่ที่สุดในพม่า แต่สิ่งที่ชาวพม่าไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งยิ่งใหญ่ในปี 2473 ทำให้ยอดของพระธาตุมุเตาหักพังลงมา  แต่ที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากคือ เมื่อยอดพระธาตุหักลงมาแต่องค์พระธาตุนั้นไม่ได้หักลงถึงพื้น จึงเป็นความเชื่อทั้งชาวพม่าและชาวไทยว่าหากใครได้ไปกราบไหว้องค์พระธาตุแล้วได้เอาไม้ไปค้ำไว้กับยอดพระธาตุที่หักลงมาแล้วเอาหน้าผากไปแตะกับยอดองค์พระธาตุที่หักลงมาจะทำให้ชีวิตของคนคนนั้นไม่ว่าจะถึงช่วงชีวิตที่ตกต่ำยังไงเราก็ยังไม่ตกต่ำถึงที่สุดก็เปรียบเหมือนยอดพระธาตุที่ต่อให้ตกยังไงก็ตกไม่ถึงพื้นและทำให้ชีวิตของคนนั้นมีความมั่นคงถาวรนั่นเอง

ถัดจากเจดีย์ชเวมอดอร์ คือ พระราชวังกัมโพชธานี หรือพระราชวังบุเรงนอง เป็นพระราชวังซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้าบุเรงนองที่เสียหายหนักเมื่อสมัย 300 ปีก่อน กระทั่งรัฐบาลพม่าได้ทำการบูรณะพระราชวังกัมโพชธานีขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เพื่อให้เป็นพระราชวังที่มีควาสวยงามเหมือนดังเดิม แต่เปลี่ยนสถานะจากพระราชวังที่ประทับของกษัตริย์ ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านประวัติศาสตร์ โดยภายในได้จัดแสดงประวัติศาสตร์ของเมืองหงสาวดี อีกทั้งยังมีราชรถจำลอง โมเดลของพระราชวัง และบานประตูไม้สักขนาดใหญ่ของพระราชวังเดิมให้ชมอีกด้วย

และสถานที่สุดท้ายก่อนเราจะขึ้นรถไปต่อกันที่พระธาตุอินทร์แขวน คือ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว หรือพระนอนยิ้มหวาน เป็น พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่มีจุดเด่นตรงที่ บริเวณพระบาทไม่วางเสมอกัน ซึ่งมีความหมายว่า ในขณะนั้นพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เป็นอากัปกิริยาก่อนที่พระองค์จะเสด็จสู่ปรินิพพาน จากนั้นเราได้นั่งรถต่อ เข้าที่พักขื่อ Golden Sunrise เพื่อขึ้นพระธาตุอินทร์แขวน ในตอนเช้า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชั่วโมง (โดยเราได้ตีตั๋วไปกลับ ไทโจ-ย่างกุ้งค่าบริการ 12,000 จ๊าด)

และไฮไลท์ของทริปเมียนม่าของเราก็เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความแออัดของชาวพม่าบนรถขนหมู รถขนส่งเพื่อขึ้นไปสักการะพระธาตุไจทีโย หรือ พระธาตุอินทร์แขวน ค่าบริการเที่ยวละ 2,000 จ๊าด ใช้เวลาเดินทางประมาน 1 ชั่วโมง เนื่องจากทางขึ้นเขาค่อนข้างชัน

เมื่อมาถึงด้านบนแล้ว เราจะได้เห็นมวลพุทธศาสนิกชนเนื่องแน่นเต็มไปหมดทั้งนักท่องเที่ยวและชาวพม่าที่บางครอบครัว กางเสื่อนอนกันบนนี้เลย เพราะมีความเชื่อที่ว่าต้องมาสักการะพระธาตุอินทร์แขวนทั้งหมด 3 ครั้ง ถึงจะได้บุญสูงสุดและคำอธิษฐานก็จะสัมฤทธิ์ผล ดังนั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่จึงนิยมขึ้นไปสักการะพระธาตุอินทร์แขวนในตอน เช้า กลางวัน เย็น ของวันเดียวกัน

และนี่ คือทั้งหมดที่เราอยากให้ท่านลองไปสัมผัสดูสักครั้ง เพราะนอกจากจะอิ่มบุญอิ่มศรัทธาแล้วท่านจะยังได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านของเราไปอย่างสิ้นเชิง "กัมกองปาเซ" …ขอให้โชคดีครับ