กลุ่มปราสาทตาเมือน เส้นทางอารยธรรมขอมที่รุ่งเรืองในอดีต สัมผัสเสน่ห์ของเมืองโบราณ ณ ดินแดนอีสานใต้ จังหวัดสุรินทร์
กลุ่มปราสาทตาเมือน - ปราสาทตาควาย
ศาสนาสถานขอมโบราณ
อีสานใต้ ดินแดนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของอารยธรรมเก่าแก่ เป็นเส้นทางท่องเที่ยวอารยธรรมขอมโบราณที่โดดเด่นเป็นอัตลักษณ์ชัดเจน เห็นได้จากร่องรอยแห่งอารยธรรมที่รุ่งโรจน์ คือกลุ่มปราสาทหินที่ความงามเป็นที่ปรากฏหลายหนแห่งในอีสานใต้ ไม่ว่าจะเป็นปราสาทพนมรุ้ง...ปราสาทเมืองต่ำ ในจังหวัดบุรีรัมย์ กลุ่มปราสาทตาเมือน ...ปราสาทตาควาย ที่จังหวัดสุรินทร์
การเดินทางย้อนเวลาตามรอยอารยธรรมขอม ณ ดินแดนอีสานใต้ ของเราในครั้งนี้ เราปักหมุดไว้ที่กลุ่มปราสาทตาเมือน และ ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ เราเดินทางลัดเลาะเส้นทางเข้าสู่เขตชายแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาเพื่อสัมผัสเสน่ห์ของเมืองโบราณ ณ ดินแดนอีสานใต้ในอีกหนึ่งมุมมอง
ปราสาทตาเมือนธม
ศาสนาสถานขอมโบราณ
‘ปราสาทตาเมือนธม’ เป็นศาสนาสถาน หากเปรียบกับปัจจุบันก็เป็นเสมือนวัดนั่นเอง ตั้งอยู่ในเขตอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ บริเวณเทือกเขาบรรทัด ทิวเขาพนมดงรัก (ภาษาเขมรออกเสียงว่า พนมดองแหรก แปลว่าภูเขาไม้คาน) พื้นที่ด้านล่างของปราสาทเป็นจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา เนื่องจากเป็นแนวเขตชายแดน รอบๆ บริเวณปราสาทจะมีทั้งทหารไทยและทหารกัมพูชาร่วมกันดูแลรักษาพื้นที่
‘ตาเมือน’ แปลว่า ตาไก่ ‘ธม’ แปลว่า ใหญ่ รวมเรียก ‘ตาเมือนธม แปลว่า ตาไก่ใหญ่’ ปราสาทนี้สร้างขึ้นบริเวณจุดสำคัญบนเส้นทางคมนาคมระหว่างที่ราบสูงโคราชกับเขมรต่ำ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 16 (ปีปัจจุบันคือพุทธศตวรรษที่ 26) มีอายุราว 1,000 ปีล่วงมาแล้ว วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อเป็นศาสนสถานอุทิศให้กับพระศิวะ (พระศิวะคือเทพผู้เป็นใหญ่ 3 องค์ของศาสนาฮินดู ประกอบด้วย พระพรหม พระนารายณ์หรือพระวิษณุ และพระศิวะหรือพระอิศวร) การสร้างปราสาทหลังนี้ได้มีการจำลองให้ปราสาทตรงกลางเป็นเขาพระสุเมรุอันเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เขาพระสุเมรุเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า พระศิวะก็ประทับอยู่ในเขาพระสุเมรุแห่งนี้ด้วย
ปราสาทตาเมือนธมหลังนี้สร้างขึ้นบนแผ่นหินธรรมชาติตามสภาพภูมิประเทศ ส่วนปราสาทหลังอื่นมักสร้างอยู่บนฐานศิลาแลงบ้าง สร้างบนภูเขาบ้าง การสร้างบนแผ่นหินธรรมชาติเวลาที่ฝนตกอาจทำให้น้ำชะลงมาตัวปราสาทอาจค่อยๆ เลื่อน และมีการทรุดตัวได้แต่อาจใช้เวลาอีกหลายสิบปี วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างปราสาทจะเห็นว่าเป็นหินทราย (ก้อนสีขาวออกชมพู) ที่เราเห็นเป็นก้อนพรุนๆ คือก้อนศิลาแลง ศิลาแลงเป็นดินไม่ใช่หินจะเกิดอยู่ในใต้ดิน เกิดจากดินผสมกับแร่ควอตส์และแร่เหล็ก เวลาที่จะนำมาใช้งานจะขุดหน้าดินออกแล้วตัดศิลาแลงออกเป็นก้อนๆ เวลาอยู่ใต้ดินจะเป็นก้อนอ่อนนิ่ม สามารถตัดแซะขึ้นมาได้ จากนั้นนำมาผึ่งลมผึ่งแดดไว้เป็นเวลาประมาณ 1 เดือนก็จะมีความแข็ง และสามารถนำมาก่อสร้างเป็นตัวปราสาทได้ ข้อเสียของศิลาแลงคือไม่สามารถจะแกะสลักลวดลายได้ละเอียดเท่ากับตัวหินทรายเพราะมีรูพรุน
ปราสาทแต่ละหลังส่วนใหญ่แล้วจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เพราะเป็นทิศแห่งความเป็นสิริมงคล แต่มีปราสาทบางหลังที่หันหน้าไปทางทิศอื่น เช่น ปราสาทตาเมือนธม ตัวปราสาทหันหน้าไปทางทิศใต้ อาจเป็นเพราะว่าเพื่อให้สอดรับกับเส้นทางการเดินขึ้นเขาจากฝั่งพระนคร (กัมพูชา) จึงจำเป็นต้องหันหน้าไปทางทิศใต้นั่นเอง อีกปราสาทที่หันหน้าไปทางทิศใต้คือ ปราสาทหินพิมาย ปราสาทขนาดใหญ่ที่หลายคนรู้จักกันดี เพื่อให้รับกับเส้นทางระหว่างเมืองพิมายไปยังเมืองพระนคร และอีกหลังหนึ่งคือ เขาพระวิหาร หันหน้าไปทางทิศเหนือ เป็นลักษณะของทางภูมิประเทศ ส่วนปราสาทนครวัด ปราสาทที่ใหญ่ที่สุดหันหน้าไปทางทิศตะวันตก เนื่องจากว่าพระเจ้าสุริยวรมัน ที่ 2 สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บพระศพของพระองค์เอง เปรียบดังเป็นสุสานจึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศแห่งความตาย
บริเวณด้านหน้าปราสาทประธาน คือ บรรณาลัย ที่เป็นศิลาแลง (บรรณาลัยตามศัพท์คือห้องสมุดเป็นที่เก็บพวกคัมภีร์ต่างๆ) เดินต่อไปด้านหลังคือ ปราสาทบริวารที่ประดิษฐ์สถานของเทพองค์รองลงมา
โคนนทิ พาหนะของพระศิวะ เวลาที่พระศิวะจะเดินทางไปไหนก็จะขี่ตัวโคนนทิไป และเมื่อเสร็จภารกิจกลับมา โคนนทิก็จะมาหมอบเฝ้าอยู่เป็นเครื่องหมายแสดงว่า พระศิวะท่านประทับหรือสถิตอยู่ข้างในปราสาทนี้
จุดที่สำคัญที่สุดของศาสนสถานแห่งนี้ คือ สวยัมภูวลึงค์ หรือ ศิวลึงค์ที่เกิดจากหินธรรมชาติ ที่ประดิษฐานอยู่ใจกลางห้องครรภคฤหะในปราสาทประธาน เป็นตัวแทนของพระศิวะอยู่ในรูปของอวัยวะเพศชาย เพราะเชื่อว่าศิวลึงค์นี้เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งสิ่งมีชีวิตทั้งปวง คนสมัยโบราณคงจะมีการสำรวจหาสถานที่เพื่อทำการสร้างปราสาท เมื่อพบหินธรรมชาติที่มีลักษณะคล้ายกับศิวลึงค์จึงสร้างปราสาทขึ้นล้อมรอบ ศิวลึงค์ของที่นี่เริ่มชำรุดแล้วแต่เดิมนั้นน่าจะสมบูรณ์มากกว่านี้ อาจมีการกระเทาะหรือสึกกร่อนไปตามกาลเวลา เนื่องจากมีอายุกว่าพันปีมาแล้ว มีความเชื่อว่าถ้าศิวลึงค์ถูกทำลายบ้านเมืองนั้นก็จะถูกทำลายไปด้วย ถ้าศิวลึงค์มีการชำรุดก็จะใช้พวกทองคำมาทำการซ่อมแซมเชื่อมให้ติดกัน ในสมัยโบราณคนทั่วไปจะไม่สามารถเข้ามาที่ห้องนี้ได้ จะมีเพียงพราหมณ์ผู้ทำพิธีกับกษัตริย์เท่านั้น
ในการทำพิธีจะมีการเทน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์รดลงไป น้ำจะไหลออกไปทางท่อโสมสูตร (ท่อน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์) ที่ต่อจากแท่นศิวลึงค์ เพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่มารอรับ
จากการบูรณะปราสาทประธานพบโบราณวัตถุจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นพวกประติมากรรม รูปเทพ พาหนะเป็นรูปช้าง รูปกระบือ และที่สำคัญคือศิลาจารึก ซึ่งมีทั้งหมดประมาณ 9 หลัก ตอนนี้บางส่วนได้จัดเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุรินทร์ ศิลาจารึกที่พบกล่าวถึงการสรรเสริญพระศิวะ บอกรายนามทาสและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลปราสาทแห่งนี้
ลูกมะหวด คือ ซี่ลูกกรงทำจากหินแกะลายเลียนแบบพวกเครื่องไม้ ประดับอยู่บริเวณช่องหน้าต่างของปราสาท
ทางลงไปฝั่งชายแดนกัมพูชา
ปราสาทตาเมือนโต๊ด (ตาเมือนเล็ก)
อโรคยศาล
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 อารยธรรมขอมเจริญสูงสุดแผ่ขยายทั่วพื้นที่อีสานใต้ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายของอาณาจักรขอมทรงเลื่อมใสนับถือพุทธศาสนา นิกายมหายานเป็นอย่างมาก แต่ในขณะที่กษัตริย์องค์ก่อนๆ นับถือศานาฮินดู ไศวนิกายหรือไวษณพนิกาย เมื่อพระองค์ทรงนับถือในศาสนาพุทธจึงเปรียบประหนึ่งพระองค์เองเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อที่จะให้ประชาชนของพระองค์พ้นทุกข์ ถึงได้มีการจารึกไว้ว่า ‘โรคทางกายของราษฎรเป็นโรคใจที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง แม้ว่าความทุกข์นี้จะมิใช่ความทุกข์ของพระองค์ แต่ก็เป็นความทุกข์ของเจ้าเมือง’ เพราะฉะนั้นแล้วพระองค์จึงโปรดให้สร้างโรงพยาบาล หรือ อโรคยาศาล ขึ้นรอบพระนครถึง 102 แห่งด้วยกัน (ตามจารึกที่ปราสาทตาพรหมกล่าวไว้) ในประเทศไทยพบปราสาทอโรคยศาลถึง 30 แห่งในจังหวัดสุรินทร์ เช่น ปราสาทตาเมือนโต้ด...ปราสาทจอมพระ...ปราสาทช่างปี่ และปราสาทบ้านปราสาท เป็นต้น
จะเห็นว่าตรงกลางปราสาทประธานหลังนี้คือ ปราสาทประธานใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระไภษัชยคุรุ ชื่อเต็มว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต หรือ พระพุทธเจ้าแพทย์ เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งรักษาคนป่วย มีความเชื่อว่ามีความเจ็บปวดตรงไหนเราก็ไปลูบตรงส่วนนั้นของพระไภษัชยคุรุ เช่น ปวดตา ให้ลูบตา ปวดเข่าให้ลูบเข่า ถ้าลูบก็จะหายจากความเจ็บป่วยนั้นๆ ปัจจุบันเรานับถือในรูปของ พระกริ่ง ที่เชื่อว่าพกติดตัวไว้จะเกิดความปลอดภัยแคล้วคลาดต่างๆ และจะมี พระอวโลกิเตศวร เป็นโพธิสัตว์ มี 4 กร พระอวโลกิเตศวร ได้รับการนับถืออย่างมาก ในประเทศจีนและญี่ปุ่นจะนับถือในรูปของเจ้าแม่กวนอิม
ถัดจากตัวปราสาทประธานเป็นอาคารสีน้ำตาลสร้างด้วยศิลาแลงคือ บรรณาลัย (บรรณาลัยหมายถึงหอสมุดซึ่งเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา) ล้อมรอบจะเป็นตัวกำแพง
ตรงทางเข้าของกำแพงด้านหน้าเรียกว่า โคปุระ หรือ ซุ้มประตูทางเข้า ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเพื่อความเป็นสิริมงคล ถัดมาจากตัวปราสาททางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นสระน้ำปูด้วยศิลาแลงเป็นขั้นบันไดลงไปตักน้ำ ถ้าเราไปเจอปราสาทแบบนี้ มีบรรณาลัย โคปุระ มีกำแพงล้อมรอบ และมีสระน้ำ สามารถบอกได้เลยว่าคือ อโรคยศาล เพราะแผนผังของอโรคยศาลทุกแห่งจะมีลักษณะแบบนี้
ปราสาทตาเมือนโต๊ด เปรียบเสมือนวัดประจำโรงพยาบาล ก่อนที่จะเอายาสมุนไพรไปทำการรักษาคนป่วย เขาจะนำสมุนไพรนั้นไปประกอบพิธีกรรมข้างในเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์แล้วจึงเอามารักษา คนป่วยไม่ได้นอนอยู่ข้างใน แต่จะปลูกเป็นโรงไม้ โรงเรือนหย่อมๆ เอาไว้เป็นที่พักให้กับคนป่วย เราเจอรูปประติมากรรมของพระยมเป็นเทพแห่งความตายอยู่ที่อโรคยศาล เช่น ที่ปราสาทช่างปี่ ด้วย หากคนป่วยเสียชีวิตลงก็เกิดความอุ่นใจว่าถึงแม้จะตายที่นี่ก็ยังมีผู้นำทางไปสู่ทางที่ดี โดยจากจารึกพบว่าอโรคยศาลจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่จะเป็นหมอ เป็นพราหมณ์ผู้ทำหน้าที่เป็นแพทย์ มีผู้คอยให้การพยาบาล คนต้มยา คนคอยหายา แรงงานต่างๆ ฉะนั้นอโรคยศาลแต่ละแห่งใช้แรงงานประมาณ 70-100 คน
โคปุระ ทางเข้าด้านในพื้นปูด้วยศิลาแลงเพราะในสมัยนั้นหาง่าย นำมาตัดแล้วเรียงๆ กันเป็นพื้น ซ้าย-ขวาอาจเคยประดิษฐานรูปเคารพก็เป็นได้ ตัวปราสาทประธานที่มีความสำคัญอาจใช้หินทรายถ้าสามารถหาได้ ยอดเป็นศิลาแลง ยอดบนสุดของตัวปราสาทเป็นรูปทรงดอกบัว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์และความเป็นมงคล เรียกว่า บัวยอดปราสาท ปราสาทก็คือเรือนหรืออาคารที่มียอดซ้อนกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ นั่นเอง ตรงสันมีการย่อมุม เพิ่มมุม มิใช่เป็นสี่เหลี่ยมทื่อๆ ชิ้นส่วนต่างๆ ของปราสาทได้ลบเลือนหายไปบ้างแล้ว แต่พอจะเห็นร่องรอยของตัวอาคารว่ามีหน้าบัน(สามเหลี่ยมหน้าจั่ว) และทับหลังอยู่บริเวณบนขอบประตูมีการแกะสลักเรื่องราวต่างๆ
ปราสาทตาเมือน (บายกรีม)
ธรรมศาลา
ปราสาทตาเมือน หรือ ธรรมศาลา คือที่พักคนเดินทาง จากหลักฐานจารึกที่ปราสาทพระขรรค์ระบุถึงพระราชกรณียกิจสำคัญของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กล่าวถึงการสร้างถนนเชื่อมระหว่างเมืองพระนครกับเมืองต่างๆ ที่เรียกกันว่า เส้นทางราชมรรคา ได้โปรดให้สร้างธรรมศาลาหรือที่พักคนเดินทาง ซึ่งในจารึกเรียกว่า วหนิคฤหะ หรือ บ้านมีไฟ รวมทั้งสิ้น 121 แห่ง ควบคู่ไปกับ อโรคยาศาล หรือ สถานพยาบาล หนึ่งในเส้นทางสายสำคัญนี้ที่เชื่อมไปยังวิมายะปุระ หรือ พิมาย มีที่พักคนเดินทางถึง 17 แห่งด้วยกัน อยู่ในประเทศไทย 9 แห่ง อยู่ในอาณาจักรกัมพูชา 8 แห่ง ปัจจุบันได้ค้นพบหมดแล้วทั้ง 17 แห่ง โดยปราสาทแต่ละหลังมีระยะทางห่างกันโดยประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่คนสามารถพอเดินทางได้ในเวลา 1 วัน โดยแต่ละวันที่เดินก็จะมาจบที่ปราสาทแต่ละหลัง
ปราสาทตาเมือน ใช้สำหรับเป็นที่พักของผู้ที่เดินทางไปทำการจาริกแสวงบุญตามปราสาทต่างๆ เช่นไปปราสาทตาเมือน แล้วเดินไปต่อยังปราสาทเมืองต่ำ ไปปราสาทพนมรุ้ง ไปจนถึงปราสาทพิมาย หรือจะใช้เป็นเส้นทางที่ใช้ในการทำการค้าแล้วมาพักแรมก็เป็นได้ สังเกตได้จากรูปทรงอาคาร ถ้าได้ไปเจอปราสาทที่มีรูปทรงอาคารลักษณะเป็นห้องยาวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก็สามารถบอกได้เลยว่าคือธรรมศาลา หรือที่พักคนเดินทาง เพราะทุกที่จะมีรูปแบบเดียวกันหมด
ปราสาทตาเมือนแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีหน้าต่างอยู่ 5 ช่องทางทิศใต้ ทางทิศเหนือจะปิดทึบ ข้างในท้ายสุดปราสาทมีเป็นรูปเคารพอยู่ด้วย แต่ในปัจจุบันได้สูญหายไปแล้ว คาดว่าอาจจะเป็นพระพุทธรูป หรือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ด้านหน้าทางเข้าจะมีทับหลังรูปพระพุทธรูปซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่าปราสาทแห่งนี้สร้างในศาสนาพุทธอย่างแน่นอน ปกติคนที่เดินทางจะไม่มานอนข้างในเช่นเดียวกับที่อโรคยศาล องค์ปราสาทจะเป็นเหมือนกับวัดประจำธรรมศาลานั่นเอง ส่วนคนเดินทางก็จะมีเรือนนอน เรือนไม้อยู่รอบๆ ธรรมศาลา แต่ในปัจจุบันก็ได้เสื่อมสลายไปหมดแล้ว
ทับหลังของปราสาททำจากหินทราย ปราสาทหลังนี้ส่วนใหญ่ทำจากศิลาแลง แต่ส่วนที่ต้องรับน้ำหนักอย่างเช่นตัวกรอบหน้าต่าง กรอบประตูก็จะเป็นหินทรายแต่เป็นเพียงใช้เป็นส่วนน้อย บนยอดปราสาทก็จะเป็นหินทรายที่แกะสลักได้สวยงามประณีต ลวดลายบนหน้าบันเป็นรูปของพระพุทธเจ้าปางสมาธิ ประทับนั่งอยู่บนหน้ากาล มีสิงห์สองตัวอยู่ด้านข้าง และเป็นลายใบไม้ม้วน ซึ่งเป็นลักษณะของศิลปะแบบบายน อยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 หินทรายขาวที่นี่มีลวดลายที่สมบูรณ์และชัดเจนมาก ด้านในปราสาทใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม การก่อสร้างปราสาทเขมรจะมีลักษณะสูงกับยาว จะใช้ลักษณะวิธีการซ้อนเหลื่อมกับหินให้ซ้อนกันขึ้นไปจะไม่สามารถออกทางกว้างได้ จะใช้น้ำหนักของหินกดทับกันเอง แต่ตรงไหนที่มีความเสี่ยงว่าหินจะแยกออกหรือต้องการความแข็งแรงจะใช้การเซาะร่องให้เป็นรูปเหมือนกับตัวอักษร ไอ ในภาษาอังกฤษแล้วใช้เหล็กเป็นรูปตัวไอวางระหว่างหินสองก้อนใช้ตะกั่วอุดทับเพื่อยึดเอาไว้ สมัยก่อนจะไม่ได้เปิดหลังคาโล่งเช่นนี้แต่จะมีเพดานไม้ และพื้นจะปูแผ่นไม้เอาไว้ ซึ่งปัจจุบันได้เสื่อมสลายไปหมดแล้ว พบหลักฐานจากที่ปราสาทพิมายเป็นเศษไม้หลงเหลืออยู่ และมีการจำลองไม้ให้เห็นที่ปราสาทประธานของปราสาทพิมายด้วย และหลักฐานที่ประตูจะมีหลุมเสาสำหรับใส่ประตูไม้ให้เปิด-ปิดได้
ปัจจุบันก็ยังมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้ยังศาสนาสถานบริเวณนี้ ในช่วงใกล้วันสงกรานต์จะมีพิธีการบวงสรวงปราสาท โดยเฉพาะที่ปราสาทตาเมือนธม มีพราหมณ์มาร่วมทำพิธี คนจากฝั่งกัมพูชาสามารถเดินทางขึ้นมาได้ตรงบริเวณชายแดนทางขึ้นปราสาท
กลุ่มปราสาทตาเมือน เทือกเขาพนมดงรัก
บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลบ้านตาเมียง
อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
ปราสาทตาควาย หรือปราสาทตาวาย
‘ปราสาทตาควาย’ ภาษาเขมรเรียก ‘ปราสาทกรอเบย’ เป็นปราสาทเพิ่งพบใหม่จากการสำรวจโดย มหาวิทยาลัยราชภัฎสุรินทร์ และ วราสารเมืองโบราณ เมื่อปี พ.ศ. 2546 ตั้งอยู่ในบริเวณช่องเขาตาควาย บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตัวปราสาทจะเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ สร้างอยู่บนสันเขาห่างจากหน้าผาประมาณ 10 เมตร ไม่มีปราสาทบริวาร เป็นปราสาทที่ใช้หินทรายก่อขึ้นไปเป็นโครงปราสาทแล้วแต่ไม่ปรากฏลวดลายสลัก คาดว่าปราสาทนี้น่าจะยังสร้างไม่เสร็จจึงมีแต่ตัวปราสาทประธาน ไม่มีปราสาทอื่นประกอบด้วย ซึ่งอาจจะเป็นข้อดีตรงที่ตัวปราสาทไม่มีลวดลายจึงไม่ถูกทำลาย เช่นการแกะตัวที่เป็นสลักลวดลายออกไป
จากรูปทรงปราสาทสันนิษฐานว่าอาจจะสร้างอยู่ในช่วงของปลายสมัยนครวัดต่อช่วงต้นสมัยบายน คือช่วงพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ช่วงพุทธศตวรรษ 17-18 อายุประมาณ 800-900 ปีมาแล้ว สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นศาสนสถานหรือเป็นวัด เพราะตรงกลางมีลักษณะคล้ายกับสวยัมภูวลึงค์ ศิวลึงค์ธรรมชาติ แต่ว่าลักษณะจะไม่ชัดเหมือนที่ปราสาทตาเมือนธม
การก่อสร้างใช้ฐานศิลาแลง และตัวปราสาทก่อขึ้นไปโดยใช้หินทราย สร้างได้ค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวรูปทรงปราสาทที่ก่อกันขึ้นไป มีทางเข้าทั้งหมด 4 ทางด้วยกัน ในแต่ละทางเข้าจะมีมุขสั้นๆ ยื่นออกมาด้วย เห็นเป็นชิ้นส่วนของปราสาท เช่น ปลายของหน้าบันที่รอการสลักรูปนาค ที่ตั้งของปราสาทจะเป็นเนินหินธรรมชาติ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หลังคาห้องครรภคฤหะก่อเป็นทรงพุ่มยอดปรางค์ ซ้อนลดหลั่นกันขึ้นไป 5 ชั้น แทนเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นที่อยู่ของเทพเจ้า การก่อสร้างใช้หินเรียงสอบวางลดหลั่นกันขึ้นไปทำให้ตัวปราสาทสูงเรียวขึ้นด้านบน เมื่อเข้าไปในตัวปราสาทจะมีอากาศที่เย็นกว่าด้านนอก เพราะมีความโปร่งระบายลมได้ดี ปราสาทที่สร้างเสร็จจะมีขื่อ คาน เพดานไม้ ปิดเอาไว้ไม่ให้เห็นด้านบน
เนื่องจากเป็นปราสาทที่พบใหม่ ในบัญชีการขึ้นทะเบียนยังไม่ได้รวมปราสาทหลังนี้เข้าไปด้วย ปราสาทตาควายเป็นความร่วมมือของ 2 ประเทศที่เปิดให้เข้าชม โดยอยู่ในการดูแลของทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปัจจุบันยังมีประชาชนบางส่วนเดินทางทำพิธีบูชา ณ ปราสาทแห่งนี้ เปรียบเทียบได้กับการที่เราไปวัดไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ปราสาทตาควาย หรือ ปราสาทตาวาย บ้านไทยนิยมพัฒนา
ตำบลบักได อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
รูปภาพมีลิขสิทธิ์ ห้ามนำไปใช้ก่อนได้รับอนุญาต