“Woodland เมืองไม้แฟนตาซี” พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งงานไม้
“Woodland เมืองไม้แฟนตาซี” พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งงานไม้
ขึ้นชื่อว่าการท่องเที่ยวนั้น มีด้วยกันหลากหลายแบบ บ้างชื่นชอบท่องเที่ยวตามธรรมชาติ บ้างชื่นชอบท่องเที่ยวสถานที่สำคัญๆ แต่สถานที่ที่หยิบมาแนะนำเอาใจผู้ที่ชื่นชอบศิลปะ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากจากกรุงเทฯ นั่นคือ “Woodland” เมืองไม้แฟนตาซี ตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม เดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเมืองไม้แห่งนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่หลงใหลงานศิลปะเป็นอย่างมาก
Woodland (เมืองไม้) แห่งนี้เป็นของตระกูล “ทิวไผ่งาม” ที่สะสมไม้หายาก และสูงค่าจากทั้งในและต่างประเทศนับหมื่นๆ ชิ้น ซึ่งแต่ละชนิดต้องบอกว่าไม่สามารถไปหาดูที่ไหนได้อีกนอกจากที่นี่ที่เดียว โดยเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนรุ่นหลังเข้าชมและศึกษา ถ่ายทอดด้วยเรื่องราวเป็นห้องต่างๆ จำนวน 10 ห้อง กลายเป็น Modern Museum ที่น่าสนใจในชื่อนิทานเมืองไม้ และยังมีรีสอร์ท ร้านอาหารบรรยากาศแจ่มๆ ให้ได้พักผ่อนกันตามสบาย
เริ่มกันที่โซนแรก นิทานเมืองไม้ สำหรับโซนนี้คิดค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่คนละ 300 บาท และเด็ก 100 บาท (ต่ำกว่า 5 ขวบเข้าฟรี) ส่วนชาวต่างชาติผู้ใหญ่คนละ 500 บาท และเด็ก 300 บาท ซึ่งการเข้าชมส่วนนี้จะมีเสียงบรรยายของปู่สัก (มนุษย์ต้นไม้) คอยบอกเล่าเรื่องราวไปตลอดทาง โดยเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับโลกที่ว่างเปล่าเกิดขึ้น ซึ่งมีเพียงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และปู่สัก ผู้สร้างจึงส่งต้นไม้มาเกิดเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งมวลบนโลกนั่นเอง โดยห้องที่ 1 เป็นห้องรากไม้ (เปรียบเหมือนรากฐานชีวิต) ภายในโชว์รากไม้หายากมาให้ดูอย่างใกล้ชิด
ถัดมาเป็นห้องที่ 2 สัตว์ป่า ภายในจะเต็มไปด้วยงานไม้แกะสลักเป็นรูปสัตว์ชนิดต่างๆ ทั้งไม้สักและไม้ชบา ด้วยการจำลองบรรยากาศให้เหมือนป่าจริงๆ ทั้งแสงสีและเสียงนกร้องเป็นระยะ ส่วนห้องที่ 3 มีชื่อว่า ชาวเมืองไม้ ปู่สักแนะนำให้แวะมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห้องนี้มีไม้แกะสลักเป็นรูปคนอยู่หลายตัวบนพื้นหินศิลาแลง มีการเล่นแสงสีบริเวณที่เป็นรูปองค์พระพรหม ในภาพรวมของห้องนี้จัดแสดงผลงานศิลปะแบบเขมร มีรูปติดผนังที่เป็นนครวัด
ห้องที่ 4 ถ้ำพญานาค ห้องนี้มีงานไม้แกะสลักเป็นรูปพญานาคที่แกะอย่างพิถีพิถันหลากหลายอิริยาบถ ล้วนทำมาจากไม้เทพทาโรทั้งสิ้น ที่สำคัญเป็นงานชิ้นเดียวในโลก เพราะแกะจากรากไม้ที่มีอายุนับ 100ปี ที่มีลวดลายไม่เหมือนกัน หลังจากนั้นเข้าสู่ห้องที่ 5 โลกใต้บาดาล ซึ่งจะมีนางเงือกสาวคอยนำทางให้เราไปพบกับพระผู้สร้าง โดยกว่า 60% ของงานไม้ของห้องนี้ยังคงลวดลายของธรรมชาติเอาไว้
ย่างเข้าสู่ห้องที่ 6 เทวานฤมิตร โดยห้องนี้ประกอบไปด้วยรูปแกะสลักทวยเทพและพระพุทธองค์ที่สำคัญ ซึ่งงานทุกชิ้นล้วนทำจากไม้เทพทาโรและมีถึง 90% ที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ ถือนับเป็นห้องที่มีความวิจิตรมากที่สุด ไฮไลท์ของห้องนี้ อยู่ที่รูปแกะสลักพระพักตร์พระพุทธเจ้าทีใช้ลวดลายไม้เป็นจีวร ในลายจีวรนั้นหากลองสังเกตดู จะพบมีใบหน้ามนุษย์ต้นไม้ซ่อนอยู่ถึง 3 หน้า เป็นภาพเรื่องราวพระพุทธเจ้าส่วนอีกฝั่งเป็นเรื่องรามเกียรติ์
ห้องที่ 7 มีชื่อเรียกว่าห้องฮินดู ส่วนใหญ่เป็นการแกะสลักรูปเทพเจ้าศิลปะแบบฮินดู ที่มีทั้งเสียงบทสวดแบบฮินดูและรูปปั้นไม้ที่ประดิษฐานอยู่อย่างงดงาม ต่อด้วยห้องที่ 8 กวนอิม เป็นความเชื่อของพุทธนิกายมหายาน ที่มีความโดดเด่นอยู่ที่เจ้าแม่กวนอิมรูปสักการะของพุทธนิกายมหายาน ตกแต่งด้วยแสงสีที่ทำให้ดูตระการตา
ส่วนห้องที่ 9 เป็นห้องของพุทธศาสนา ด้านในจะแบ่งออกเป็น 3 ห้องย่อย โดยห้องพุทธ 1 เป็นห้องพระพุทธ ทีโชว์งานไม้แกะสลักจากประเทศพม่า ต้องบอกว่าแต่ละชิ้นอายุกว่า 100 ปี ห้องย่อยที่ 2 ห้องพระธรรม ที่โชว์ตู้พระไตปิฎกและธรรมมาสจากไม้มะค่าที่ใช้งานจริงๆ เมื่อหลายร้อยปีก่อน และห้องย่อยสุดท้าย เป็นห้องพระสงฆ์ เปรียบเสมือนจุดสุดท้ายของสิ่งดีงามที่สุดในชีวิตนั่นคือการนิพพาน
ห้องสุดท้าย คือ ห้องที่ 10 ห้องคริสต์ จบเรื่องราวโดยปู่สักเล่าว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นพระผู้สร้างอวตารลงมาเกิดเพื่อสอนสั่งมนุษย์ด้วยตนเองนั่นคือ พระเยซู เป็นจุดกำเนิดของศาสนาคริสต์ ไฮไลท์อยู่ที่กำแพงที่ใช้ช่างจากฟิลิปปินส์มาสลักไม้สักทองเป็นเรื่องราวของพระเยซู และยังมีรูปปั้นพร้อมกับเสียงบรรยายเพิ่มอรรถรสไปในตัว
เหนื่อยจากเดินชมห้องทั้ง 10 แล้ว ยังมีโซนรีสอร์ทให้พักผ่อนตามสบาย ในรูปแบบเรือนไม้แบบคลาสสิคที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี สามารถเก็บภาพเป็นที่ระลึกสร้างความประทับใจในวันพักผ่อนสุดพิเศษ หรือจะจิบกาแฟและเครื่องดื่มเย็นกับโซนหมู่บ้านไทย ก่อนกลับอย่าลืมแวะซื้อของฝากติดไม้ติดมือเป็นความทรงจำ